วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เรื่องแปลกจากต่างแดน

โดยทัวร์ดี มีคุณภาพ
http://www.centertourandtravel.com/

1. ชนเผ่าอะเมซอนชอบมีวิธีไม่ธรรมดาในการกินแมงมุมทาแรนทูลา คือนำไปย่างบาร์บีคิวก่อน บ้างก็ว่ารสชาติคล้ายเนื้อกุ้ง บ้างก็ว่าคล้ายเนื้อปู



2. พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ พระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1406 พระราชวังมีขนาดใหญ่มาก และคุณสามารถนอนในห้องที่ไม่ซ้ำกันทุกคืนได้เป็นเวลา 25 ปี

3. ในประเทศโคลอมเบีย จะส่งสัญญาณให้รู้ว่าใครมีเงินน้อยมากด้วยการเคาะข้อพับศอกด้วยนิ้วมืออีกข้างหนึ่ง แต่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ จะถูจมูกด้วยนิ้วชี้จากบนลงล่าง



4. ชาวนิวซีแลนด์ ทักทายด้วยการเอาจมูกชนจมูก รวมทั้งหน้าผาก แล้วจ้องตากัน ถ้าเขาชนกับจมูกคุณ อย่าถอยหนี เพราะเขาอาจคิดว่าคุณดูถูกเขา



5. ในประเทศปาปัวกินี มีหมู่บ้านหลายแห้งที่อยู่ห่างกันเพียง 8 กิโลเมตร แต่ใช้ภาษาพูดต่างกัน



6. ภาษาฮาวายมีตัวอักษรเพียง 12 ตัว



7. ถ้าประชากรจีนเดินผ่านคุณเป็นแถวเรียงเดี่ยว แถวจะไม่มีวันสิ้นสุด เพราะมีประชากรจีนคนใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา



8. ออสเตรเลียเป็นเพียงประเทศเดียว ที่เป็นทวีปด้วย

9. ไอวานอฟเป็นนามสกุลที่ชาวรัสเซียใช้กันมากที่สุด

10. ในประเทศแอลเบเนีย การพยักหน้าหมายถึง ไม่ การส่ายหน้าหมายถึง ใช่



11. ไม้จิ้มฟันเป็นวัตถุที่ทำให้ชาวอเมริกันสำลักบ่อยที่สุด



12. นีล อาร์มสตองเหยียบบนดวงจันทร์ด้วยเท้าข้างซ้ายก่อน



13. ชาวเอสกิโมไม่เล่นการพนัน



14. ธงชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ ธงประเทศเดนมาร์ก

15. มีคนราว 18 ล้านคนในโลกที่มีวันเกิดวันเดียวกับคุณ

16. คำที่เก่าแก่ที่สุด ในภาษาอังกฤษคือคำว่า ทาวน์ (Town)



17. ชาวบัลแกเรียเป็นกลุ่มผู้รับประทานโยเกิร์ตที่มากที่สุดในโลก

18. ฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก



19. หอไอเฟลในประเทศฝรั่งเศสมีหมุดเหล็ก 2.5 ล้านตัว



20. ขั้วโลกใต้เย็นกว่าขั้วโลกเหนือ


-----------------------------------------------------------------------------
"ทัวดี มีคุณภาพ" เซ็นเตอร์ทัวร์แอนทราเวล T. 02-191 7727-8

6 วิธีหลับสบาย แม้นั่งชั้นประหยัดบนเครื่องบิน

โดยทัวร์ดี มีคุณภาพ
http://www.centertourandtravel.com/



1. แต่งตัวสบาย ๆ เลือกเสื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น สบายตัว ไม่อึดอัด ไม่ตึงเปรี๊ยะ ไม่ว่าจะลุก นั่ง พับเข่างอขา ก็ง่ายสบายทุกท่า

2. ปฏิบัติกิจหนัก-เบา ให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง เวลาเดินทางจะได้ไม่ต้องมาพะวง หลับ ๆ ตื่น ๆ ลุกมาเข้าห้องน้ำให้เสียเวลา

3. กำจัดความหิวให้หมดไป เฉพาะไฟลท์ที่บินในช่วงมื้ออาหาร ควรสั่งอาหารล่วงหน้า ดีกว่านั่งทรมานเมื่อได้กลิ่นอาหารหอม ๆ ของผู้โดยสารท่านอื่น เพราะท้องอิ่มย่อมหลับสบายกว่า

4. เดินทางอย่างมือโปร อุปกรณ์ต้องพร้อม หาหมอนรองคอคู่บารมีนุ่ม ๆ สักใบ ผ้าปิดตา เอียร์ปลั๊กอุดหู จะช่วยให้คุณหลับสบายในไฟลท์ยาว ๆ

5. นั่งริมหน้าต่าง ช่วยได้เยอะ นอกจากช่วยลดอาการวิงเวียนแล้ว จะช่วยให้คุณหลับรวดเดียวแบบไม่ต้องตื่นให้เสียอารมณ์ เพราะถูกคนด้านในปลุกให้ตื่นเพื่อขอไปเข้าห้องน้ำ

6. หลับด้วยตัวเองดีที่สุดแล้ว หลีกเลี่ยงการกินยานอนหลับทุกชนิด เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน จะได้มีสติเตรียมพร้อม

-------------------------------
"ทัวดี มีคุณภาพ" เซ็นเตอร์ทัวร์แอนทราเวล T. 02-191 7727-8 







ที่มา:Travel MThai

11 เรื่องน่ารู้ก่อน เที่ยวญี่ปุ่น

โดยทัวร์ดี มีคุณภาพ
http://www.centertourandtravel.com/

11 เรื่องน่ารู้ก่อน เที่ยวญี่ปุ่น
สำนักงานการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น รายงานว่า จำนวนผู้เข้ามาเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 21% ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – สิงหาคม 2556 หากเทียบกับปีก่อนถือว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึง เหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวจะได้เดินชมเมืองที่คลาสสิค และได้ลิ้มรสกับอาหารตามช่วงฤดูกาล
11 เรื่องน่ารู้ก่อน เที่ยวญี่ปุ่น
แต่อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวควรศึกษากฏระเบียบ และวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อให้การท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเป็นไปอย่างราบรื่น โดยทาง cnn.com เผย 11 เรื่องน่ารู้ ก่อนจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น มาฝากนักท่องเที่ยวกัน..
1. ไม่ต้องให้ Tip เพราะการให้บริการทุกอย่างเป็นไปด้วยความเต็มใจ
2. การเดินที่ถูกต้อง ต้องเดินชิดซ้าย ญี่ปุ่นเป็นเมืองที่มีคนเยอะต้องเดินให้เป็นระเบียบ รถยนต์ก็วิ่งทางซ้ายเช่นกัน
3. หากจะดื่มเหล้า หรือเบียร์ ให้ดื่มด้านนอกสถานที่ต่างๆ ที่ระบุไว้ แต่สูบบุหรี่ด้านในสถานที่ต่างๆ ได้ แต่มีข้อห้ามการสูบบุหรี่บนทางเท้า
4. เดินทางด้วยรถไฟ หรือรถโดยสารประจำทาง ก็ใช้แค่บัตรเดียว
5. มีมุมสงบๆ ทุกที่ เพื่อให้ได้พักผ่อนหย่อนใจ
6. โรงอาบน้ำญี่ปุ่น โรงอาบน้ำสาธารณะ มีค่าใช้จ่าย หากคุณอยากสัมผัสการอาบน้ำแบบรวมนี้ อยู่ที่ราคา 450 เยน
7. คำที่คุณจะได้เสมอจากที่ญี่ปุ่น คือ คำว่ายินดีต้อนรับ “Irasshaimase” ฟังแล้วน่ารักมากๆ
8. ซูซิ เป็นอาหารชั้นดีของญี่ปุ่น คุณจะได้ลิ้มรสชาติซูซิสดใหม่ทุกวันๆ มีร้านซูซิหลายร้อยร้านเปิดเรียงรายทั่วญี่ปุ่น
9. ไวไฟ ฟรี เป็นของหายากสำหรับที่นี่ ต่างจากไทยที่ร้านกาแฟบางร้านเข้าอินเตอร์เนตได้ฟรี แต่ที่ญี่ปุ่นต้องลงทะเบียนล่วงหน้าไว้ แต่วิธีที่นิยมมากสุด คือ ให้เช่า Wi-Fi router แล้วใช้เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของเราเห็นจะสะดวกที่สุด
10. มีเบคอนให้กินอยู่ทุกๆ ที่
11. การใช้ร่มใสเห็นจะเป็นร่มที่ดีที่สุด
11 เรื่องน่ารู้ก่อน เที่ยวญี่ปุ่น





















-------------------------------
"ทัวดี มีคุณภาพ" เซ็นเตอร์ทัวร์แอนทราเวล T. 02-191 7727-8 





ที่มา:J-Campus.com

10 อันดับของฝากยอดนิยมในญี่ปุ่น

โดยทัวร์ดี มีคุณภาพ

อันดับ 10 Tako Yaki (たこ焼き) จากจังหวัด Osaka ถ้าพูดถึง Tako Yaki แล้วก็ต้องที่ Osaka เท่านั้น 




อันดับ 9 Haginotsuki (萩の月) แห่งจังหวัด Miyagi(宮城)เป็นเค้กฟองน้ำคุณภาพเยี่ยม (カステラ:Kasutera) ที่สอดไส้ครีมคัสตาร์ดรสหวานกำลังพอเหมาะ เป็นของฝากที่พลาดไม่ได้ของเซนได เลยทีเดียว





อันดับ 8 Marusei Butter Sando (マルセイバターサンド) ของจังหวัด Hokkaido (北海道) เป็นบิสกิต สอดไส้ครีม White Chocolate และลูกเกด 





อันดับ 7 Momiji Manju (もみじまんじゅう) ของฝากจากจังหวัด Hiroshima (広島) เป็นขนม Manju ไส้ถั่วแดงที่คนญี่ปุ่นนิยมทานกับน้ำชา นอกจากความหวานอร่อยของขนมแล้ว  ความน่ารับประทานของขนมที่เป็นที่ออกแบบเป็นรูปใบเมเปิ้ล ก็ทำให้ Momijimanju เป็นของฝากขึ้นชื่อของ Hiroshima ไปเลย





อันดับ 6 Shiroikoibito (白い恋人) ของฝากจาก Hokkaido (北海道) ที่คนไทยรู้จักกันดี เป็นคุ้กกี้สอดไส้ White Chocolate ซี่งเนื้อคุ้กกี้จะถูกอบด้วยความเกรียมที่กำลังพอดี บวกกับ White Chocolate ที่ทำจากน้ำนมอันเลื่องชื่อของ Hokkaido ทำให้ Shiroi Koibito เป็นที่ติดอกติดใจทั้งของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามสนามบินแทบจะทุกแห่งในประเทศญี่ปุ่น





อันดับ 5 Uirou (ういろう) ของฝากจากจังหวัด Aichi (愛知) เป็นขนมขึ้นชื่อของเมือง Nagoya (名古屋) ที่เป็นที่รู้จักกันดีของคนญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยแรกในยุคเอโดะ (江戸時代) ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าที่นำไปนึ่ง รสหวานอ่อน ๆ นุ่ม ๆ มีทั้งรสน้ำตาลขาว น้ำตาลดำ ถั่วแดง และชาเขียว เป็นขนมที่คนญี่ปุ่นนิยมทานกับน้ำชาเป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว





อันดับ 4 Jagapokkuru (じゃがポックル) ของฝากจากจังหวัด Hokkaido  รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นแค่มันฝรั่งแท่งทอดกรอบทั่วไป แต่รสชาตินั้นสุดยอด ผลิตโดยคาลบี้ ที่พวกเรารู้จักกันดี ภายใต้แบรนด์ Potato Farm ออกวางขายตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2006 ในช่วงแรกๆ ก็ไม่ได้มีการโฆษณาแต่อย่างใด ด้วยความอร่อย และเสียงปากต่อปากจากผู้ชิมทั้งหลาย ทำให้ขายดีถึงขนาดที่จะต้องจำกัดจำนวนซื้อต่อคนต่อครั้งกันเลยทีเดียว  ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น  ทำให้สามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น ตามสนามบินและร้านตัวแทนจำหน่ายบางแห่ง  





อันดับ 3  Akafuku (赤福) ของฝากจากเมือง Ise (伊勢) จังหวัด Mie (三重) เป็นขนมดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมาตั้งแต่สมัย Houei (宝永) ประมาณปี 1707 คือขนมโมจิไส้ถั่วแดง ที่มีรสชาติแสนอร่อย และถือว่าเป็นขนมมงคลที่แสดงถึงความจริงใจของผู้ให้ที่จะมอบความสุขให้แก่ผู้รับ ขนมนี้จึงนิยมเป็นของฝากของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก





อันดับที่ 2 Gougouichi no Butaman (551の豚まん) ของฝากขึ้นชื่อของจังหวัด Osaka  เป็นซาลาเปาไส้หมูบดรวมกับหอมหัวใหญ่ ผลิตโดยร้านอาหารจีนขึ้นชื่อของ Osaka ที่มีชื่อว่าร้าน 551 Horai (551蓬莱) ซึ่งมียอดขายเฉลี่ยถึงวันละ 140,000 ลูก





ส่วนขายซาลาเปาแบบซื้อกลับบ้านในตัวเมือง Osaka มีสาขาอยู่มากมาย ทั้งที่ Namba, Shinzaibashi, และ Umeda




ภัตตาคารอาหารจีนในสนามบินคันไซ


อันดับ 1 Karashi Mentaiko (辛子明太子) ของฝากจากจังหวัด Fukuoka (福岡) Mentaiko ก็คือไข่ปลาคอต Karashi คือรสเผ็ด Karashi Mentaiko เป็นการนำไข่ปลาคอตไปหมักกับเกลือแล้วปรุงรสเผ็ดด้วยพริกนั่นเอง เล่ากันว่า Karashi Mentaiko นั้นเกิดในช่วงสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี  และเนื่องจากเมือง Fukuoka เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่น จึงทำให้ Karashi Mentaiko เป็นอาหารที่ดัดแปลงมาจากการหมักกิมจิของประเทศเกาหลีนั่นเอง และในปี Showa ที่ 50 เมื่อรถไฟ Shinkanzen สาย Sanyo ที่วิ่งระหว่างสถานี Shin Osaka ถึงเมือง Hakata เริ่มเปิดให้บริการ ทำให้ Karashi Mentaiko เป็นที่รู้จักมากขึ้น  ปัจจุบันนิยมนำ Karashi Mentaiko ไปทำ Onigiri  และสปาเกตตี้ รวมถึงอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย






--------------------------------------------------------------------

เที่ยวญี่ปุ่นกับทัวร์ดี มีคุณภาพ เซ็นเตอร์ทัวร์  โทร.02-191 7727-8







ที่มา : The 11th Ronin  www.marumura.com

มารยาทในการรับประทานอาหารญี่ปุ่น

โดยทัวร์ดี มีคุณภาพ


           แต่ละประเทศจะมีธรรมเนียมที่แตกต่างกัน เราควรศึกษามารยาทก่อนเดินทางไปท่องเที่ยว วันนี้เรามีสาระดีๆ เกี่ยวกับมารยาทในการรับประทานอาหารญี่ปุ่นมาฝากกันค่ะ ซึ่งมีรายละเอียดข้อปลีกย่อยเป็นดังนี้ 

กำหนดที่นั่งตามสถานภาพของแต่ละคนอย่างชัดเจน

  1. กล่าวคำว่า Itadakimasu (いただきます) ก่อนรับประทานอาหาร และ Gochisousama (ごちそうさま) หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น โดยอาจพนมมือในระดับอก และก้มศีรษะเล็กน้อย เพื่อแสดงความขอบคุณต่อผู้ที่ผลิตและปรุงอาหาร ตลอดจนธรรมชาติที่ประทานอาหารเหล่านั้นมาให้
  2. ยกภาชนะทุกชนิดขึ้นในระดับอก ในระหว่างที่รับประทานอาหาร โดยถือไว้ด้วยมือซ้าย (หรือมือข้างที่ไม่ได้ใช้ตะเกียบ) ยกเว้นจานขนาดใหญ่ หรือจานที่มีการจัดเรียงอาหารไว้อย่างสวยงาม
    • การไม่ยกภาชนะขึ้นจากโต๊ะ แต่ทานโดยการก้มศีรษะเข้าไปใกล้ภาชนะ เรียกว่า Inugui (犬食い) ถือเป็นสิ่งที่เสียมารยาท
  3. ขณะที่คีบอาหารเข้าปาก ไม่ใช้มืออีกข้างหนึ่งรองใต้อาหาร เพื่อป้องกันอาหารร่วงหรือน้ำซอสหยดไหล
    • การใช้มือรองใต้อาหาร เรียกว่า "จานมือ" หรือ Tezara (手皿) ซึ่งดูคล้ายเป็นสิ่งที่มีมารยาท แต่ถือเป็นสิ่งที่ผิดมารยาท
    • หากกังวลว่าอาหารจะร่วง ให้ใช้จานเล็ก จานแบ่ง หรือฝาถ้วย เป็นภาชนะรองใต้อาหาร ระหว่างที่คีบอาหารเข้าปาก
  4. ใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหารทุกชนิด โดยใช้เฉพาะส่วนปลายของตะเกียบเท่านั้น
  5. รับประทานสลับกันระหว่าง น้ำซุป ⇔ กับข้าว ⇔ ข้าวสวย โดยไม่รับประทานเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งติดๆกัน
  6. น้ำซุป หรือน้ำในชามของนึ่ง ให้ยกถ้วยซุปขึ้นดื่มโดยตรง โดยไม่ใช้ช้อน
  7. การดื่มน้ำซุปและทานบะหมี่ ให้ดื่มและทานโดยมีเสียงดังเล็กน้อย
  8. ระหว่างที่เคี้ยวอาหารอยู่ในปาก ไม่ขยับตะเกียบไปมา หรือแสดงท่าทางที่เตรียมจะคีบอาหารชิ้นอื่นต่อ
  9. การขอข้าวเพิ่ม ควรเหลือข้าวสวยติดก้นชามไว้ 1 คำ
  10. การรับชามข้าวหรือถ้วยซุปที่ขอเพิ่ม ให้รับโดยใช้มือทั้ง 2 ข้าง แล้ววางลงบนถาดข้างหน้าตนเองครั้งหนึ่งก่อน จากนั้นจึงค่อยยกชามข้าวขึ้นเพื่อรับประทานต่อ
  11. อาหารที่ไม่ชอบ หรือทานไม่ได้ ไม่ควรใช้ตะเกียบสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของอาหารจานนั้น
  12. ไม่ท้าวข้อศอกบนโต๊ะอาหาร
  13. ไม่ชะโงกหน้าไปดูอาหาร
  14. ไม่ทานอาหารให้เหลือ
  15. ไม่ลุกจากที่นั่งกลางคันโดยไม่จำเป็น
  16. ไม่ใช้ไม้จิ้มฟันระหว่างรับประทานอาหาร
    • การใช้ไม้จิ้มฟัน ให้ใช้เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว โดยใช้มือข้างอีกข้างหนึ่งป้องปากไว้ และไม่ใช้เวลานานจนเกินไป
  17. ไม่ใช้มือสัมผัสเส้นผม ระหว่างรับประทานอาหาร
  18. ไม่วางสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือ บุหรี่ ฯลฯ บนโต๊ะอาหาร
  19. ดื่มน้ำชา เฉพาะภายหลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว
  20. ไม่ใช้โทรศัพท์ หรือเปิดเสียงสัญญาณโทรศัพท์ ในวงโต๊ะอาหาร


----------------------------------------------------
"ทัวดี มีคุณภาพ" เซ็นเตอร์ทัวร์แอนทราเวล T. 02-191 7727-8 




ที่มา:J-Campus.com

10 เรื่อง(ง่ายๆ) ที่คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "ยุโรป"

โดยทัวร์ดี มีคุณภาพ
http://www.centertourandtravel.com/
1. เมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือ "ซูริค" ----- ผิด !!!!!!!! 
           สาเหตุที่ทำให้คนส่วนมากคิดว่าเมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์คือซูริคก็เพราะว่า สนามบินนานาชาติของสวิตเซอร์แลนด์ดันตั้งอยู่ที่เมืองซูริคซะอย่างงั้น !!! ไม่หมดแค่นั้น เพราะซูริคนับได้ว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ
ของสวิตเซอร์แลนด์ แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์จริงๆ แล้วคือ "เบิร์น" ถ้าพูดกันตามตรง เมืองเบิร์นนั้นไม่ค่อยมีอะไรที่น่าสนใจมากนัก ยกเว้น "บ่อหมี" ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองนั่นเอง
 2. การเดินทางที่ถูกที่สุดในยุโรปคือ "รถไฟ" ----- ผิด !!!!!!!!
             การเดินทางด้วยรถไฟในยุโรปนั้น เป็นอะไรที่สะดวกม๊ากมากกก เพราะทุกประเทศมีรางรถไฟเชื่อมต่อถึงกัน แต่ถึงจะสะดวกแค่ไหน แต่ค่ารถไฟก็ไม่ได้จะสะดวกด้วยเลย เพราะค่ารถไฟในยุโรปนั้นแพงมากๆ ยกตัวอย่างเช่น เดินทางจากเมืองแฮมบรูก (อยู่ทางเหนือของเยอรมัน) ไปยังเมืองมิวนิค (อยู่ทางใต้ของเยอรมัน) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง แต่ค่ารถไฟล่อไปประมาณ 6-7 พัน บาทต่อเที่ยว ! แพงแบบนี้ ขอเดินไปดีกว่า - -" ดังนั้นในการเดินทางไปเมืองไกลๆ หรือข้ามประเทศ คนยุโรปบางส่วนจะนิยมใช้สายการบิน LowCost ค่ะ ยิ่งจองล่วงหน้านานๆ ยิ่งถูก
3. จะเดินทางเข้า "อังกฤษ" สามารถใช้วีซ่าเชงเก้นได้ ----- ผิด !!!!!!!!
             ก่อนอื่นต้องขออธิบายเกี่ยวกับวีซ่าเชงเก้นก่อน พูดง่ายๆ ก็คือ หากน้องๆ มีวีซ่าเชงเก้น น้องๆ จะสามารถเดินทางเข้าออกในประเทศยุโรปที่เป็นสมาชิกในกลุ่มเชงเก้นได้ เช่น เดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน และอื่นๆ รวมแล้ว 20 กว่าประเทศ

             แต่ว่า "สหราชอาณาจักร" ซึ่งรวมถึงไอร์แลนด์เหนือ เวลส์ สก๊อตแลนด์ และอังกฤษ ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในเชงเก้น ดังนั้นหากใครต้องการไปเที่ยวอังกฤษ จะต้องทำวีซ่าอังกฤษแยก ใช้วีซ่าเชงเก้นไม่ได้ ยกตัวอย่าง ถ้ามีแพลนจะไปเที่ยวเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ น้องๆ จะต้องทำวีซ่าเชงเก้นเพื่อเข้าเยอรมันและฝรั่งเศส (ขอวีซ่าจากสถานทูตเยอรมันหรือฝรั่งเศสก็ได้) และต้องทำวีซ่าอังกฤษเพื่อเข้าอังกฤษด้วย
 4. พระอาทิตย์เที่ยงคืน มีที่ "นอร์เวย์" เท่านั้น ----- ผิด !!!!!!!!
               ในหน้าร้อนของยุโรป ช่วงกลางวันจะกินเวลานาน ส่วนกลางคืนจะกินเวลาสั้นมากๆ โดยทั่วไปเนี่ย ตี 4 ฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว กว่าจะมืดอีกทีก็โน่นนนน 4-5 ทุ่มกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะประเทศในยุโรปตอนเหนือ เช่น
เดนมาร์ค สวีเดน ก็มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ไม่แพ้นอร์เวย์เลยล่ะค่ะ ดังนั้นคนในยุโรปจะค่อนข้างเฉยกับพระอาทิตย์เที่ยงคืนมากๆ เพราะอยู่ที่ไหนก็เห็นได้เหมือนกัน ไม่ต้องไปถึงนอร์เวย์หรอก

5. "ออสเตรีย" กับ "ออสเตรเลีย" ประเทศเดียวกันใช่มั้ย ----- ผิด !!!!!!!!
               เป็นอีกหนึ่งความสับสนที่น่างงงวยมากๆ บางคนรู้ว่าทั้ง 2 ประเทศเป็นคนละที่ แต่บางทีก็สับสนและเขียนผิด เช่น "เมื่อเดือนก่อน ฉันไปเที่ยวออสเตรเลียที่อยู่ในยุโรปมา" ...... อ้าว งงไปใหญ่ ตกลงไปไหนมากันแน่ ??? 
              ดังนั้นเวลาที่เราต้องติดต่อหรือสื่อสารอะไรก็ตามแต่ ที่มีโอกาสก้ำกึ่งระหว่าง 2 ประเทศนี้ กรุณาระบุให้ชัดๆ ด้วยนะคะว่าหมายถึงประเทศไหนกันแน่ เพราะเคยเกิดเรื่องมาแล้ว คือมีน้องคนหนึ่งไปติดต่อเอเจนซี่เรียนต่อเมืองนอก บอกกับเอเจนซี่ว่า หนูอยากไปเรียนต่อออสเตรียค่ะ ช่วยส่งข้อมูลมาให้หน่อย แต่เอเจนซี่ดันคิดว่าน้องคนนั้นหมายถึงออสเตรเลีย เพราะไม่ค่อยมีเด็กไทยไปเรียนต่อที่ออสเตรีย สรุปว่า เอเจนซี่เลยส่งข้อมูลเรียนต่อออสเตรเลียมาให้ซะอย่างนั้น -*-
6. ไปยุโรป "พูดภาษาอังกฤษ" ก็ได้ ประเทศเค้าพัฒนาแล้ว ----- ผิด !!!!!!!!
             จริงอยู่ที่ว่าประเทศในยุโรป(ส่วนมาก) เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนยุโรปจะพูดภาษาอังกฤษกันคล่องปรื๋อนะคะ เพราะมีคนจำนวนมากที่ "พูดไม่ได้เลย" ต้องย้ำเลยว่าพูดไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่นคนฝรั่งเศสเนี่ย บางทีเราเห็นเค้าดูหยิ่งๆ ไม่ยิ้มให้เรา แต่จริงๆ ไม่ใช่ว่าเค้าหยิ่งหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะว่าเค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้นั่นเอง (กลัวเราจะเข้าไปถามทาง เลยทำหน้าบึ้งสกัดไว้ก่อน 555)
7. "โปแลนด์" กับ "โปรตุเกส" ประเทศเดียวกันรึเปล่า ----- ผิด !!!!!!!!
              อันนี้เป็นอะไรที่เส้นผมบังภูเขามากๆ ค่ะ คือแต่ก่อนจะชอบจำ 2 ประเทศนี้สลับกันบ่อยๆ จนละเมอท่องไปว่า เมืองหลวงของโปแลนด์คือลิสบอนซะอย่างนั้น - -" เพราะชื่อประเทศมันคล้ายๆ กัน (โปรๆ เหมือนกัน) เลยอยากจะฝากน้องๆ ให้จำให้แม่นๆ เลยนะคะว่า โปรตุเกสอยู่ติดสเปน มีเมืองหลวงชื่อ "ลิสบอน" ส่วนโปแลนด์อยู่ติดเยอรมัน มีเมืองหลวงชื่อ "วอร์ซอร์"
 8. คนสวิสพูด "ภาษาสวิส" ----- ผิด !!!!!!!!



              คนสวิสไม่ได้พูดภาษาสวิสนะคะ เพราะภาษาสวิสไม่มีในโลก 5555 สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ไม่มีภาษาเป็นของตนเอง ดังนั้นคนสวิสส่วนมากกว่า 73% จะพูดภาษาเยอรมัน อีกส่วนหนึ่ง 21% ที่อาศัยอยู่แถบตะวันตกของประเทศ เช่น เจนีวา 21% จะพูดภาษาฝรั่งเศส และอีกส่วนหนึ่ง 6% ที่อาศัยอยู่แถบใต้ของประเทศ เช่น ลูกาโน จะพูดภาษาอิตาเลียนค่ะ
9. "โมร็อคโค" กับ "โมนาโค" นี่ก็เป็นประเทศเดียวกันอีกใช่มั้ย ----- ผิด !!!!!!!!
              ความสับสนระหว่าง 2 ประเทศนี้ก็มาจากชื่อประเทศอีกแล้วค่ะ ขอยกมืออีกเสียงว่าชอบสับสนประจำ *0* งั้นจะขออธิบายคร่าวๆ ละกันนะคะ เริ่มที่ "โมร็อคโค" เป็นประเทศในทวีปแอฟริกาที่ไม่ค่อยจะเหมือนแอฟริกาซักเท่าไรนัก (เพราะถ้าพูดถึงทวีปแอฟริกา เราก็มักจะนึกถึงเอธิโอเปีย ซิมบับเว ไนจีเรียอะไรเทือกนั้น) แต่โมร็อคโคค่อนข้างเจริญกว่านั้นเยอะ  นอกจากนี้ด้วยที่ตั้งของโมร็อคโคซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทำให้เราสามารถเดินทางจากโมร็อคโคไปยังเมือง Algeciras ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของสเปนด้วยเรือ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น !!

              ส่วน "โมนาโค" เป็นประเทศเล็กๆ ในทวีปยุโรป อยู่ติดกับฝรั่งเศส มีประชากรเพียง 3 หมื่นกว่าคน ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองตากอากาศและคาสิโนที่มีชื่อเสียง

10. "เยอรมัน" กับ "เนเธอร์แลนด์" ประเทศอยู่ติดกัน จึงน่าจะสนิทชิดเชื้อกัน ----- ผิด !!!!!!!!


             ประเด็นนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากๆ สืบเนื่องมาจากสมัยสงครามโลกที่เยอรมันเคยไปบอมบ์ใส่เนเธอร์แลนด์ไว้หลายจุด ทำให้คนดัตช์(เนเธอร์แลนด์) โดยเฉพาะคนแก่ๆ ที่เกิดทันยุคสงครามโลก ไม่ค่อยถูกกับคนเยอรมันนัก ถึงกับว่ากันว่า ถ้าเยอรมันแข่งฟุตบอลกับประเทศอะไร คนดัตช์ส่วนมากก็จะพร้อมใจเชียร์อีกทีมกันเลยทีเดียว ดังนั้นหากน้องๆ มีโอกาสได้พูดคุยกับคนดัตช์หรือคนเยอรมัน พยายามหลีกเลี่ยงการคุยเรื่องของอีกประเทศด้วยก็จะดีมากเลยค่ะ แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเป็นคนสมัยใหม่ เค้าก็ไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องนี้กันเท่าไหร่แล้วค่ะ เก็บไว้เป็นเพียงอดีต ~
----------------------------------------------------------------------------
"ทัวดี มีคุณภาพ" เซ็นเตอร์ทัวร์แอนทราเวล T. 02-191 7727-8 





ที่มา : Dek-D.com